สักแต่ว่ารู้-เห็น
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
บ้านเรานี่ ในวัดเรา เรารู้หมดเลย เห็นไหม พวกเรานี่คนวัด พวกเราเคยมาวัดนี้ ในบริเวณเขตวัดนี้พวกเราจะรู้หมดเลย ตรงไหนๆ ต้นไม้นี่เรารดน้ำมาเอง ต้นมันจะโตขนาดไหน แต่คนนอกมาไม่รู้เรื่องเลย บอกว่าวัดเราจะเป็นอย่างนั้นๆๆ แล้วเราไปเชื่อเขาได้อย่างไร? ในวัดนั้นมีต้นไม้ ต้นขนุนนะปลูกตรงหน้าวัดเลย อยู่ตรงศาลาเลยนะ ตรงบันไดเลย ขึ้นไปจะเห็นต้นขนุนก่อน นี้เราก็ฟังแล้วก็เชื่อ เชื่อเขาไหม?
เราต้องไม่เชื่อ ถ้าคนในวัดต้องไม่เชื่อเลย คือจะเปรียบเหมือนใจเราไง ใจเรานี่ เราเข้าใจว่าเรารู้ เพราะเราเป็นคนวัดนี้ เราอยู่ในวัดนี้ เรารู้ว่าสภาพวัดนี้เป็นอย่างไร? แล้วมีคนอื่นมาบอกเราว่าวัดนี้มีต้นขนุนปลูกอยู่ตรงศาลาเลย เราไม่เชื่อหรอก แต่เราไม่เชื่อนี่เราจะพูดให้ใครฟังมันก็แปลก มันก็พูดไม่ได้ ฉะนั้น พูดอะไรไม่ได้หรอก เพราะอะไร? เพราะว่าคนวัดเราก็ดูสิ นี่อยู่กี่คน? แล้วดูคนอำเภอโพธารามมีเท่าไหร่? คนในอำเภอโพธารามเป็นแสน แล้วคนวัดนี้กี่คน?
นี่ก็เหมือนกัน คนที่รู้จริงมันน้อยไง คนที่ตามสภาวะความเป็นจริงมันมีกี่คน? แล้วคนนั้นเอามาพูด คนนี้เอามาพูด บางทีมันก็อึดอัดนะ แล้วเวลาถ้าเป็นประชาธิปไตย เสียงนิดเดียวไง นี่มีกี่คน? ๘ คน ข้างนอกมีเสียงเป็นแสน แล้วเราจะเอาอะไรไปรบกับเขา แพ้เขาทุกที รบทีไรแพ้ทุกที แพ้ทุกที ก็ไอ้ความแพ้อันนี้มันทำให้น้อยใจไง เอ๊ะ ทำไมถ้าเราทำดี ยกขึ้นมานี่เขาแสน เราต้อง ๒ แสนสิ เขายกมาแสน เราต้อง ๕ แสนสิ ทำไมยกมา ๘ เขายกกันเป็นแสนทุกทีเลย
อันนี้เขาว่าโลก เห็นไหม นี่สมมุติ แต่ความเป็นจริงเราเข้าถึงธรรมไง เข้าถึงธรรมเป็นปัจจัตตัง พระพุทธเจ้าถึงเอาคำนี้มายัน เป็นปัจจัตตัง รู้ตามสภาวะความจริงของคนๆ นั้น แล้วไม่ถามแม้แต่พระพุทธเจ้า ไม่ถามแม้แต่พระพุทธเจ้านะ เพราะมันต้องเป็นปัจจัตตังแท้ ถ้ายังถามอยู่มันถึงไม่ใช่ปัจจัตตังจริง ปัจจัตตังอันนั้นไม่จริง ปัจจัตตังอันนั้นเป็นปัจจัตตังแบบจินตมยปัญญา สุตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัจจัตตังจริงต้องจริงแบบมั่นคง จริงแบบพระอริยเจ้าเลย จริงแบบของจริงเลย ฉะนั้น ใครถึงโกหกไม่ได้
กลัวไม่อยากให้คนอื่นเข้ามายุ่งไง วันนี้บิณฑบาตมา พระเทศน์ออกทีวีไง ว่า สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำว่าสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น นี่ชาวพุทธคิดไง สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็นหนึ่ง แล้วพอปล่อยว่างวางเฉย ปล่อยว่างๆ ปล่อยวาง มันเป็นผลของการปฏิบัตินะ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น รู้แล้วไม่รับรู้
พูดถึงคนที่จิตมันสะอาดแล้วนะ ถ้าคนที่จิตไม่สะอาดเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตัวกิเลสเป็นตัวยางเหนียวไง มันจะสักแต่ว่ารู้ได้อย่างไร? มันจะสักแต่ว่ารู้มันเหมือนกับอวิชชาไง สักแต่ว่ารู้ แบบว่าเราเห็นภาพแล้วเราไม่รับรู้ นี่สักแต่ว่ารู้ แต่เราฟังเสียงแล้วไม่รู้เรื่อง เพราะเราส่งจิตไปทางอื่น สักแต่ว่ารู้อย่างนั้น สักแต่ว่ารู้ไร้ความหมาย แต่สักแต่ว่ารู้ของพระพุทธเจ้าสิ รับรู้ รู้ตามความเป็นจริงทั้งหมดเลย แล้วปล่อยไว้ตามความเป็นจริงไง
รู้ แต่จะบอกว่าถ้ารู้แบบโลก รู้ต้องรับรู้สิ อย่างเช่นคนว่าเราว่าเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ บอกว่าเราไม่ดี ต้องรู้ว่าไม่ดีสิ แต่นี่เขาบอกเราไม่ดี รู้ว่าเขาว่าไม่ดี แต่ไม่เดือดร้อน เห็นไหม รู้ สักแต่ว่ารู้ แต่ไม่เจ็บปวดไม่เดือดร้อนไปกับเขา สักแต่ว่ารู้มันหมายความว่าอย่างนี้ มันเลยอธิบายไม่ได้ เลยใช้คำว่าสักแต่ว่ารู้ไง
เราทำสมาธิเข้าไปจิตสงบเลยนะ จิตสงบเลย แม้แต่มันจะปล่อยวางทั้งหมดเลย เห็นไหม มันรู้อยู่ รู้อยู่ แต่เขาใช้คำว่ารู้อยู่ แต่ไม่รู้เรื่องกาย คือใช้คำว่า สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ไง แต่ความจริงแล้วใช้คำว่าสักแต่ว่ารู้ไม่ได้ มันรู้เต็มที่เลย แต่รู้ในตัวมันเอง นี่การอธิบายไง
ทีนี้ว่าสักแต่ว่ารู้ เขาว่าให้ทำสักแต่ว่ารู้ ถ้าอย่างนี้ปั๊บพวกเราก็ทำสักแต่ว่ารู้ มันเหมือนกับเป็นการลัดขั้นตอนไง เราลัดเทคนิคการปฏิบัติขึ้นไป ไปทำให้สักแต่ว่ารู้ก่อน มันทำให้เรานอนเนื่องไปไง แบบว่าเรานี่ เราควรจะอาบน้ำ แต่งตัว อาบน้ำชำระขี้ไคลขึ้นมาจากน้ำ แสดงว่าเราก็อาบน้ำเสร็จสะอาดใช่ไหม? ถ้าสักแต่ว่ารู้ คือว่าเราก็นอนในน้ำ แล้วเราก็ปล่อยให้น้ำพัดลอยไปตามกระแสน้ำไง สักแต่ว่ารู้ คำว่าลัดขั้นตอน
ฟังให้ดีนะ คำว่าลัดขั้นตอนคือว่าเราไปในแม่น้ำ แล้วเราก็ปล่อยให้น้ำพัดลงทะเลไปเลย ไปตามน้ำไง นี่สักแต่ว่ารู้ แล้วเราได้อะไรขึ้นมา? แต่ถ้าเราลงไปในแม่น้ำใช่ไหม? เราอาบน้ำ เราขัดเนื้อขัดตัวขึ้นมา ขัดความสกปรกออกไป แล้วเราขึ้นมาจากน้ำ เห็นไหม เราได้ความสะอาด จะสักแต่ว่ารู้เราต้องทำสมาธิก่อน ต้องทำให้จิตสงบ ทำให้จิตสงบแล้วค่อยมาชำระที่ว่ายางเหนียวในหัวใจไง มันจะสักแต่ว่ารู้ไม่ได้
เพราะตรงนี้มันเป็นยาง มันแปะ เห็นไหม มันติดไง ยางที่มันติด ทุกอย่างมันติดหมด พอติดหมดมันก็จะรู้ไปหมด ทีนี้ทำอย่างไร? ต้องทำตรงนี้ก่อน กลับมาทำจนกว่ามันจะเป็นสักแต่ว่ารู้ แต่ถ้าเราไปสักแต่ว่ารู้ก่อน สักแต่ว่ารู้ก่อน ปล่อยว่าง วางเฉยก่อน ปล่อยว่าง เราชาวพุทธไม่ยึด ไม่ติด ไม่ว่าเขานะ ใครจะว่าอะไรก็ปล่อยวางๆ คำว่าปล่อยวางมันเป็นการฝึกสมาธิอันหนึ่ง มันเป็นการทำขันติบารมี
ถ้าเป็นพูดอย่างนี้เห็นด้วย ว่าเป็นการทำขันติบารมี แต่มันไม่ใช่ตามความเป็นจริงสักแต่ว่ารู้ที่เป็นความหมายของพระพุทธเจ้า เราเอาน้ำไปตั้งบนไฟ ถ้าน้ำมันเดือดขึ้นมา น้ำมันต้องเดือด แต่สักแต่ว่ารู้ของพระพุทธเจ้า น้ำตั้งบนไฟจุดเท่าไหร่มันก็ไม่เดือด มันต่างกันตรงนั้นไง ถ้าตั้งน้ำมีไฟ มีความร้อนอยู่มันจะไม่เดือดได้อย่างไร? มันต้องเดือด น้ำต้องเดือดเด็ดขาดเลย แล้วจะบอกว่าพอเอาน้ำไปตั้งไฟแล้วบอกว่าไม่เดือดๆ แต่ถ้าเป็นเราบอกว่าไม่เดือดๆ เป็นไปได้ไหม?
นี่ก็เหมือนกัน สักแต่ว่ารู้ก่อนมันเป็นอย่างนั้นไง แต่ถ้าตามความเป็นจริงแล้วใช่ไหม น้ำไม่เดือดไง น้ำร้อนปลาเป็น น้ำร้อน น้ำเดือดพล่านเลย แต่ไม่รู้ สักแต่ว่ารู้ แต่มันต้องตามความเป็นจริง มันจะสักแต่ว่ารู้ได้เพราะว่ามันต้องเอาสารนั้นออกก่อน สารคือตัวกิเลสในหัวใจนั้นออกก่อน มันเป็นความว่าง ต้มแล้วมันไม่โดนอะไรไง สักแต่ว่ารู้ แต่มันไม่ใช่สักแต่ว่ารู้อย่างที่พวกเรานี่ พอพวกเราฟังสักแต่ว่ารู้เราก็จะปล่อยกัน สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้
ก็เหมือนกับเราปล่อยตัวเราลอยออกทะเลไปไง สักแต่ว่ารู้ มันเป็นสักแต่ว่ารู้เหมือนกับอวิชชาไง อวิชชาคือความไม่รู้เท่า ไม่รู้จริง สักแต่ว่ารู้คือรู้ ทำไมจะไม่รู้ แต่แกล้งไม่รู้ ทำให้มันมึนชาไง ปล่อยว่าง ปล่อยให้มึนชา ให้เรามึนชาในความรับรู้อันนั้น แล้วมันชำระกิเลสไหม? มันไม่ชำระกิเลส ชำระกิเลสมันต้องกำจัด คือการวิปัสสนาให้ตัวนี้ออกไปสิ ไอ้ตัวที่จะไปรับรู้ ไอ้ตัวทุกข์ออกไป แต่สักแต่ว่ารู้ก่อนนี่มันไม่ใช่วิปัสสนาให้ออกไป มันเป็นการเอาเศษขยะกวาดเข้าใต้พรมไว้ไง ไปหมกเอาไว้ในพรมไง ให้มันเป็นสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้
มันไม่สักแต่ว่ารู้ มันรู้นี่ เพียงแต่แกล้งไง พอแกล้งแล้วมันก็เหมือนกับชั่วคราว มันข่มได้ชั่วคราว เพราะตรงยังของที่เราไม่รักอยู่ ของอะไรก็ได้ที่เราไม่ค่อยรัก ไม่ค่อยหวง ใครทำอะไรเสียหาย แต่ก็รู้ได้ ลองของที่มันรักสุดหัวใจสิ สักแต่ว่ารู้ได้ไหม? มันจะเต้นผางๆ เลย สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ไม่ได้หรอก เพราะมันไม่จี้กระตุกใจดำ
ฉะนั้น เวลาเราวิปัสสนากัน เราทำใจกันก็ตรงนี้ไง ตรงที่สักแต่ว่ารู้เลย เพราะมันเกิดจากใจ เหตุมันเกิดจากตัวนั้น ทุกข์เกิดจากตัวนั้น ทุกข์เกิดเริ่มต้นจากความคิด ทีนี้พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ เห็นไหม จิตแก้จิต จุดและต่อมของจิตที่อยู่ภายใน นี่มันจะวนกลับมา วนกลับมาตรงนั้น พอชนะตรงนั้นมันก็กลายเป็นรู้ รู้ตามความเป็นจริง แต่เป็นสักแต่ว่ารู้ อันนั้นถึงเป็นสักแต่ว่ารู้จริงไง สักแต่ว่ารู้ที่พระพุทธเจ้าบอกให้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะให้ถึงตรงสักแต่ว่ารู้อันนี้ต่างหากทีนี้เพียงแต่มันเป็นคำพูด เป็นคำสมมุติว่าสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ รู้ไม่ทุกข์ รู้ตามความเป็นจริง
พอเรียนมาสักแต่ว่ารู้ แล้วคนมันเป็นอย่างนี้ด้วย มันจินตนาการไง ความจินตนาการคำว่าสักแต่ว่ารู้ ก็เหมือนกับที่ว่าเวลาเราพูดถึงพุทธศาสนาไง เข้าถึงพระไตรปิฎกนะ พระไตรปิฎกนี่เป็นทางผ่าน เห็นไหม ก็เป็นตัวเริ่มต้นของปริยัติ คือปริยัตินี่ไปศึกษาพระไตรปิฎก แล้วก็ย้อนกลับมา จินตนาการจากตรงนั้นออกมา แต่ความจริงของพระพุทธเจ้าเข้าถึงพระไตรปิฎกใช่ไหม? แล้วปฏิบัติตามนะ แล้วมันทะลุเข้าไปพระไตรปิฎกไง ทะลุออกไปเป็นความรู้ไง มันเป็นฝ่ายตรงข้ามเข้าไป
ฉะนั้น มันถึงบอกว่า ไอ้ที่ว่าทะลุเข้าไปถึงปฏิเวธ แต่นี้พอเราใช้ความจินตนาการของพวกเรา ที่พวกเราจินตนาการสักแต่ว่ารู้ไง แต่ถ้ามันพิจารณาดูสิมันเป็นการมึนชาเลยนะ เป็นการมึนชา เป็นการจะไม่ได้ประโยชน์เอาซะด้วย คือว่าเป็นเทคนิค ลัดขั้นตอนของเทคนิคไง อย่างเช่นการประพฤติปฏิบัติ ต้องการทางลัดๆ ทางลัดเป็นอย่างไร? ทางลัด พยายามจะเป็นทางลัด แต่ทางลัดมันไม่มี มีแต่ทางตรง จะลัดให้ได้ ลัดให้ได้ ลัดไปลัดมาสิ
เว้นไว้แต่! เว้นไว้แต่ผู้ที่มีบารมี เห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายนะ แต่ส่วนใหญ่มันปฏิบัติยากน่ะสิ เพราะอะไร? เพราะกึ่งพุทธกาลไง ไม่ได้เกิดสหชาติ เกิดสมัยพระพุทธเจ้า ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายด้วย แล้วสำคัญที่ครูบาอาจารย์เก่งด้วย รู้เลยว่าคนๆ นี้มีนิสัยอย่างไร? จะเอายาอย่างไร? เหมือนกับรู้โรคไง โรคกับยามันตรงกัน ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ! กับคนๆ นั้นเลย
จูฬปันถกนั่นน่ะเห็นชัดๆ เลยนะ จูฬปันถก พี่ชายเป็นพระอรหันต์ สอนพระจูฬปันถกไม่ได้ จนแบบว่าให้ไปสึกไง พอจะไปสึก บอกให้ไปสึก แล้วพระพุทธเจ้าไปดักหน้าเลยล่ะ
จูฬปันถกจะไปไหน?
จะไปสึก
ใครให้สึก?
พี่ชายให้สึก
เธอบวชเพื่อใคร?
บวชเพื่อพระพุทธเจ้า บวชเพื่อตถาคต
อย่างนั้นมานี่
สอนเลยนะ ให้ลูบผ้าขาว เห็นไหม เพราะว่าลูบผ้าขาวมันตรงกับจริตไง ตรงกันยากับโรคตรงกันเปี๊ยะเลย แล้วพอลูบไปๆ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเทศน์สอนพระด้วยนะ ว่านี่เหตุเพราะมีอยู่ชาติหนึ่งท่านเป็นกษัตริย์ ออกตรวจพลสวนสนามไง แล้วกษัตริย์มันจะมีความประณีตมากใช้ผ้าขาวเช็ดหน้า พอเช็ดหน้าคนมันแบบนึกว่าตัวเองสะอาดตลอดเวลาไง ทีนี้เวลาไปตรวจพลมันโดนฝุ่น โดนอะไร เพราะรถม้า พอเช็ดแล้วมันเป็นฝุ่น โอ้โฮ หน้าดำขนาดนั้นเชียวหรือ?
เพราะตัวเองเข้าใจว่าตัวเองหน้าสะอาดไง เข้าใจว่าตัวเองสะอาดเพราะตัวเองเป็นกษัตริย์ พอเช็ดออกมามันสะเทือนใจ มันสะเทือน นี่มันฝังใจมา ทีนี้มันมีเชื้ออยู่ เห็นไหม ทีนี้ยาเข้าไปพอดีเลย ยาก็บอกลูบผ้าขาว มันตรงกันไง ลูบๆๆๆ ก็ผ้ามันขาวเอามือไปลูบ ก็ผ้ามันขาวอยู่ ขาวหนอๆ แล้วมันจะขาวได้ไหม? ในมือเรามีเหงื่อ มีขี้ไคล ลูบไปนี่ผ้าดำ
ลูบผ้าขาว ผ้านี่ขาวใครๆ ก็รู้ว่าผ้ามันขาว แล้วมือลูบผ้าขาว ลูบจนผ้าขาวเลอะ มันจะเลอะจากผ้าขาวได้อย่างไร? มันต้องเลอะจากมือเราสิ ถ้าเลอะจากมือเรานี่คนมันต้อง โอ้โฮ ร่างกายนั้นสกปรก ความสกปรกมันอยู่ที่ใจเรา เห็นไหม มันย้อนกลับมา ความสกปรกอยู่ที่มือเรานี่แหละ เหงื่อไคลออกจากมือเราไป ผ้าขาวนั้นมันสะอาดอยู่แล้ว มันก็ย้อนกลับมาสิ มันไม่ใช่สำเร็จที่ผ้าขาวนั้น มันสำเร็จที่หัวใจความหลงผิด แล้วมันจะย้อนกลับๆๆ ย้อนกลับเข้าไปจนถึงกับ อ๋อ
เพราะฝังใจมาจากชาติที่แล้ว มันอยู่ที่หัวใจ มันเป็นมโนวิญญาณ เห็นไหม มโนนะ มโนวิญญาณ ไม่ใช่วิญญาณกระทบนี่ มโนวิญญาณภายใน มันฝังอยู่ที่นั่น แล้วทีนี้พอย้อนกลับเข้าไปตรงนั้น ไปชำระกันตรงนั้นไง นี่มันถึงว่าผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เพราะปฏิบัติง่ายรู้ง่ายด้วย เป็นบารมีของตัวเองหนึ่ง เป็นเพราะเจอพระพุทธเจ้าด้วยหนึ่ง เจอครูอาจารย์ที่เยี่ยมไง เจอคนสอนที่เยี่ยมไง แต่ปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์เราก็มี แต่จะรู้ตรงตัวอย่างนั้น มันก็ต้องเอาบารมีของผู้สอนไง บารมีของผู้จะสอนหนึ่ง แล้วยังบารมีของพวกเราที่เจอครูบาอาจารย์อีกหนึ่ง เราจะเจอใครล่ะ?
นี่มันถึงว่าปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ฉะนั้น ปริยัติถึงว่าออกไปตรงนั้น ถ้าเขาไม่เชื่อตรงนั้นด้วย แล้วจินตนาการไปสักแต่ว่ารู้ของเขา สักแต่ว่ารู้นะ สักแต่ว่ารู้คือไม่ทำกันเลยไง ถ้าจะทำสมาธิก่อนนี่เสียเวลา ถึงให้ทำสักแต่ว่ารู้เลย นี่มองอะไรก็มองไม่รู้เรื่อง ก็กลายเป็นคนบ้ากันหมดเนาะ มองอะไรก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ เดี๋ยวรถชนกันเนาะ มองป้ายก็ไม่ออกไง เวลาขับรถไป เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา สักแต่ว่าเลี้ยว ฉันจะเลี้ยวขวา ป้ายบอกให้เลี้ยวซ้าย ฉันจะเลี้ยวขวาไง สักแต่ว่ารู้ไง เดี๋ยวได้ประสานงากัน สักแต่ว่ารู้
เพราะอย่างนี้ มันลัดขั้นตอนอย่างนี้มันถึงปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ปฏิบัติมันต้องมีสเต็ปของมันไง ทำใจให้สงบก่อน สักแต่ว่ารู้ให้มันสักแต่ว่ารู้จริงจากภายใน แล้วก็ย้อนกลับเข้าไปชำระกิเลสภายในไง กิเลสจากภายในของมันเอง ทำให้ได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ของคนๆ นั้น เป็นปัจจัตตัง เห็นไหม เป็นประโยชน์ของเรา นี่ถึงว่าเวลาสอน สอนกันผิดๆ เวลาทำก็จะทำผิดๆ ไง เทคนิคไง ลัดขั้นตอนเป็นเทคนิค